วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559
The Fintech พลิกโฉมอนาคตโลกการเงิน
Amazon เปลี่ยนวิธีการซื้อสินค้ามาสู่โลกออนไลน์ และ Apple ปฏิวัติวงการเพลง และอีกไม่นานนับจากนี้การพลิกโฉมหน้าการทำธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลจะส่งผลกระทบต่อเงินทองของคุณในทุกมิติ ไล่เรียงตั้งแต่การหาเงิน การเก็บออม การลงทุน ไปจนถึงการใช้จ่ายเงิน
จากรายงานข้อมูลของ CB Insights พบว่า บรรดานักลงทุนเงินร่วมลงทุน และนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทต่างมองเห็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลให้การลงทุนในกิจการของฟินเทคสตาร์ตอัพในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2015 มีมูลค่าสูงถึง 10.5 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการลงทุนเพียง 3.9 พันล้านเหรียญในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทเล็กๆ กลุ่มนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้โลกการเงินในอนาคตของพวกคุณ และนี่คือตัวอย่างของบริษัทที่โดดเด่นที่ไม่อาจมองข้าม
กูรูสมองกลด้านการเงิน
บริษัท Kensho ทำธุรกิจให้บริการบทวิเคราะห์ผลกระทบต่างๆ ที่มีต่อตลาดทุน โดยอาศัยการผสมผสานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เข้ากับเทคนิคต่างๆ ที่ประมวลผลโดยอาศัยการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์
ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง : Daniel Nadler อายุ 32 ปี
เครดิตผลงาน : หน่วยสืบราชการลับของประเทศสหรัฐอเมริกา (CIA) เป็นลูกค้าซอฟต์แวร์ของบริษัท
มูลค่ากิจการ : 500 ล้านเหรียญ
ธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ : ธุรกิจที่วิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ซื้อขายหุ้นโดยอาศัยข้อมูลที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
Daniel Nadler จบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Harvard วิทยานิพนธ์ที่เขาเลือกทำเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเครดิตของประเทศ Nadler มีความคิดที่จะทำซอฟต์แวร์ Kensho ในปี2013 ช่วงที่เขาเป็นอาจารย์แลกเปลี่ยนที่ Boston Federal Reserve เขาเล่าว่า
“ผมรู้สึกทึ่งว่าโลกของเรานี้มีเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประกาศแถลงการณ์ต่างๆ ของธนาคารกลาง การเลือกตั้งในยุโรป วิกฤติหนี้สินของประเทศต่างๆ เหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง และอื่นๆ อีกมากมาย แต่แล้วเราก็มักจะหันไปหาใครสักคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และพูดว่า...แกจำได้ไหมว่าเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แล้วผลกระทบที่เกิดกับตลาดหุ้นในตอนนั้นเป็นอย่างไร”
ซอฟต์แวร์ Kenshoมีรูปแบบการทำงานแบบเดียวกับเว็บไซต์ Google ซึ่งทำหน้าที่หาคำตอบให้ทุกคำถามที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เช่น หุ้นประเภท “defensive stock” อย่างเช่น หุ้นบริษัทน้ำมันหรือหุ้นบริษัทสายการบินมีสภาพเป็นอย่างไร ตอนที่เกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายในทวีปยุโรป แต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่เว็บไซต์ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลสามารถค้นเจอเฉพาะหน้าเว็บไซต์ที่มีบทวิเคราะห์ดังกล่าว แต่ซอฟต์แวร์ Kensho สามารถป้อนคำตอบต้นแบบให้ 65 ล้านคำถามโดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกว่า 90,000 ครั้ง รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ผลกำไรของบริษัทต่างๆ การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และการอนุมัติการขึ้นทะเบียนตำรับยาขององค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา Nadler อวดผลงานความสำเร็จของเขาว่าไม่ใช่งานหมู ของแบบนี้หากใช้คนทำก็ต้องเสียเวลาในการวิจัยข้อมูลไม่ต่ำกว่า 40 ชั่วโมง แต่ซอฟต์แวร์ Kensho ของเขาสามารถเนรมิตข้อมูลพวกนี้ภายในไม่กี่วินาที พร้อมแสดงข้อมูลจำพะวกกราฟและแผนภูมิต่างๆ ประกอบอย่างครบถ้วนชัดเจน ทั้งนี้ Goldman Sachs เลือกติดตั้งซอฟต์แวร์ Kensho ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขององค์กรในปี 2014 ส่วน JPMorgan Chase และ Bank of America Merrill Lynch ได้เริ่มทดลองใช้งานซอฟต์แวร์ของเขาเมื่อเร็วๆ นี้
แต่สิ่งที่ทำให้ Nadler ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการด้านการวิจัยของหน่วยงานเทคโนโลยีทางการเงินที่มหาวิทยาลัย Stanford School of Engineering ภาคภูมิใจสูงสุดคือ การที่ CNBC เลือกใช้ซอฟต์แวร์ Kensho เพื่อประมวลผลการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลเชิงลึกให้นักลงทุนกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก โดยเขายกตัวอย่างเหตุการณ์ในช่วงที่ตลาดมีการปรับฐานในเดือนสิงหาคม และสิ่งที่ซอฟต์แวร์ Kensho ได้ประมวลผลและป้อนข้อมูลให้แก่ CNBC มีส่วนทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนความเชื่อที่ว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังผันผวนอย่างหนัก
ท่านที่สนใจ อยากอ่านเรื่องราวของบริษัท Fintech อื่นๆ ต่อ สามารถอ่านต่อได้ในวารสาร Forbes Thailand โดยมาอ่านได้ที่ห้องสมุดมารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครับ นอกจากนี้ห้องสมุดยังมีหนังสือด้านการเงินและการลงทุนมากกว่า 20,000 เล่ม ให้ทุกท่านได้มาเรียนรู้ และเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:30-21:00 น. เดินทางสะดวกโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน ลงสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ทางออก 3 ครับ
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ที่มา : วารสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2559
เรียบเรียงโดย : คุณชนกานต์ อนันตคุณากร
วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
จับตา Block Chain นวัตกรรมใหม่ เปลี่ยนโลกการเงิน
ปัจจุบันกระแส Fintech กำลังร้อนแรงไปทั่วโลก เนื่องจากกลุ่ม Tech-Start Up ได้สร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ พร้อมส่งมอบประสบการณ์แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่งผลให้สถาบันการเงินรวมถึงธนาคารใหญ่หลายแห่งตื่นตัวอย่างมาก เห็นได้จากการที่ธนาคารพยายามควบรวมบริษัท Start up เหล่านั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และ Fintech กำลังจะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ผู้ใช้ไม่เคยได้รับจากธนาคารมาก่อน และธนาคารซึ่งเคยรับหน้าที่เป็นตัวกลางน่าจะได้รับผลกระทบจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจ Fintech ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง
แต่สิ่งที่ธนาคารกังวลมากกว่านั้นไม่ใช่แค่แอพพลิเคชั่นทางการเงินที่ให้บริการ เติม จ่าย โอน ถอน ที่หาได้ทั่วไปในแอพพลิเคชั่นสโตร์ แต่เป็นเทคโนโลยีที่เป็นโครงสร้างของระบบการเงินรูปแบบใหม่ ที่จะทำให้ธนาคารไม่มีบทบาทในการทำธุรกรรมการเงินของผู้ใช้อีกต่อไป ซึ่งโฟกัสของโลกขณะนี้ต่างจับตาไปที่เทคโนโลยี “Block Chain” ซึ่งได้รับการคาดการณ์ว่ามีโอกาสที่จะพลิกโฉมโลกการเงินไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากระบบสามารถทำให้ผู้ใช้ทำธุรกรรมการเงินได้อย่างปลอดภัย โปร่งใส โดยไม่จำเป็นต้องมีธนาคารเป็นตัวกลาง
เทคโนโลยี Block Chain เปลี่ยนโลกการเงินใบเก่า
ไดอาน่า ที่ปรึกษาระดับสูง กลุ่มธุรกิจไอบีเอ็มซิเคียวริตี้ ไอบีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า Block Chain คือเทคโนโลยีที่ใช้บันทึกข้อมูลแบบ Distributed Ledger (รายการเดินบัญชี) โดยทุกข้อมูลจะมีการเชื่อมโยงกันทั้งระบบ ซึ่งการจะสร้าง Block เพื่อบันทึกข้อมูลใหม่เข้าไปใน Block Chain ได้นั้น จำเป็นจะต้องผ่านการตรวจสอบข้อมูลจากทั้งเครือข่าย (Consensus Network) เสียก่อน ถึงจะสามารถสร้างข้อมูลในรูปของ Block ใหม่ เข้าไปในเครือข่ายได้
เทคโนโลยี Block Chain สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เฉพาะการเงินเท่านั้น ในต่างประเทศจะมีเครือข่ายที่สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีนี้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ แต่ที่ Block Chain ได้รับการจับตามองอย่างมาก เป็นเพราะสกุลเงินดิจิทัลอย่าง “Bitcoin” นำ Block Chain มาปรับใช้จนประสบความสำเร็จ
หัวใจสำคัญของ Block Chain ก็คือ การสร้าง Distributed Ledger หรือรายการเดินบัญชีแบบกระจายตัวที่ผู้ใช้ทุกคนจะต้องมีเป็นของตัวเอง ไดอาน่า ยกตัวอย่างว่า ในระบบการเงินปัจจุบันนั้น ผู้ที่เก็บ Ledger หรือรายการเดินบัญชีเอาไว้คือธนาคาร หากลูกค้าต้องการทราบ ก็ต้องนำสมุดบัญชีไปคัดลอกออกมา หรือใช้อินเตอร์เน็ตแบงกิ้งเข้าไปดูข้อมูล ซึ่งรูปแบบนี้เรียกว่า Centralize Ledger ในระบบนี้ผู้ใช้จะเห็นข้อมูลได้เฉพาะ Ledger ของตัวเอง เนื่องจากในระบบธนาคารนั้นลูกค้าจะต้องมีการทำ KYC เพื่อระบุตัวตนผู้ใช้ โดยธนาคารจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมให้กับลูกค้า
แต่ภายใต้เทคโนโลยี Block Chain นั้นจะคิดต่างออกไปโดยจะเปลี่ยนจากรูปแบบ Centralize Ledger มาเป็น Distributed Ledger ที่ไม่มีตัวกลางอย่างธนาคารทำหน้าที่เก็บรายการเดินบัญชีและทำธุรกรรมให้ อีกทั้งไม่มีการทำ KYC อีกด้วย แต่ในโครงสร้างของ Block Chain จะมีส่วนสำคัญคือ Node ที่เชื่อมระหว่างกันจำนวนมาก และแต่ละ Node จะมี Ledger ของผู้ใช้ทุกคนในเครือข่าย โดยแสดงผลผ่าน Address ที่ไม่ระบุตัวตน ทำให้ทุกคนในเครือข่ายสามารถเห็นการเดินบัญชีทางการเงินของผู้ใช้รายอื่นๆ ทั้งหมด แต่ไม่สามารถระบุ ได้ว่าแต่ละ Address คือผู้ใช้รายใด
ไดอาน่า อธิบายว่า สำหรับการทำธุรกรรมนั้น ผู้ใช้สามารถที่จะโอนเงินไปมาได้แบบ Pier2pier โดยใช้ Private Key ของตัวเองส่งคำสั่งผ่าน Ledger ระบบจะเริ่มตรวจสอบว่าธุรกรรมนั้นถูกต้องหรือไม่ โดยจะดูจากฐานข้อมูลในแต่ละ Node หากมีข้อมูลที่ตรงกัน ระบบก็จะยอมรับการสร้าง Block ใหม่เข้ามาในเครือข่าย นั่นหมายความว่าสามารถทำธุรกรรมได้สำเร็จ
“Block Chain คิดต่างด้วยการเปิดรายการเดินบัญชีของผู้ใช้ทุกคนผ่านระบบ Distributed Ledger และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสมาชิกในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมเพราะทุกคนจะมีข้อมูลเหมือนกันหมด หากธุรกรรมใดที่มีข้อมูลผิดไป ระบบจะไม่อนุญาตให้ทำธุรกรรมนั้นได้ หรืออีกแง่หนึ่งก็คือไม่ยอมรับการเพิ่ม Block ใหม่เข้ามาในระบบ ด้วยกระบวนการเหล่านี้จึงทำให้ Block Chain ได้รับการจับตามองอย่างมากจากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคการเงินธนาคาร”
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
จุดเด่นของเทคโนโลยี Block Chain
1. ทุกคนมีรายการเดินบัญชีของตัวเอง และสามารถดูรายการเดินบัญชีของทุกคนในระบบได้ ผ่าน Address ที่ไม่ระบุตัวตน มีความโปร่งใสทุกขั้นตอน
2. การทำธุรกรรมได้ต้องผ่านการตรวจสอบจากเครือข่ายของ Node ต่างๆ ก่อนว่าข้อมูลตรงกันหรือไม่ ทำให้โอกาสที่จะเกิดการฉ้อโกงน้อยลง
3. มีการเข้ารหัสลับขั้นสูง แม้จะเห็นรายการเดินบัญชีทั้งหมด แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครคือเจ้าของ ผู้ที่จะแก้ไขรายการเดินบัญชีได้ คือ เจ้าของที่มี Private Key เท่านั้น ส่งผลให้มีความปลอดภัยสูง
4. ธุรกรรมที่เกิดขึ้นอยู่ในรูปของ Block ที่ต่อกันไปเรื่อยๆ และไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้
5. ค่าธรรมเนียมต่ำเพียงแค่ 0.01-0.05% ของมูลค่าธุรกรรมเท่านั้น
Block Chain ปฏิวัติการเงินธนาคารตื่นตัวต่อยอด
ไดอาน่ากล่าวว่า ขณะนี้เทคโนโลยี Block Chain ได้รับการจับตามองอย่างมากจากหลายธุรกิจ เนื่องจากจุดเด่นเรื่องความโปร่งใสและมีโอกาสในการฉ้อโกงที่น้อยมาก ทำให้ภาคธุรกิจทั่วโลกตื่นตัวและพยายามศึกษาเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับธุรกิจตัวเอง ทำให้โอกาสที่ Block Chain จะแพร่หลายในอนาคตมีสูงมาก เนื่องจากข้อมูลจะถูกสร้างต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่สามารถแก้ไขได้ จึงเหมาะสมกับธุรกิจที่ต้องเน้นความถูกต้องและโปร่งใส
“มีนักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดว่า Block Chain อาจกลายเป็นเป็นเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบใหม่ที่สามารถสร้างนวัตกรรมมาปฏิวัติโลกการเงินธนาคารได้ ซึ่งเวลานี้ธนาคารในอเมริกาเริ่มตื่นตัวศึกษาและทดสอบเพื่อหาโอกาสในการต่อยอดจากเทคโนโลยี Block Chain แล้ว เพียงแต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนใหญ่ยังเป็นการทดสอบด้านเทคโนโลยีมากกว่าการปรับใช้จริง แต่ด้วยความที่ Block Chain เป็นเทคโนโลยีใหม่ คงต้องรอดูอนาคตอีกสักระยะ การคาดการณ์ตอนนี้ยังถือว่าเร็วเกินไป แต่ไอบีเอ็มมองว่า Block Chain น่าจะเข้ามาช่วยตอบโจทย์เรื่องความโปร่งใสและความรวดเร็วในการทำธุรกรรมได้”
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ที่มา : วารสารการเงินธนาคาร เดือนเมษายน 2559
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
คิดแบบ TECH STARTUP สู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ในช่วง 2-3 ปีให้หลังมานี้ ความนิยมของ Tech Startup นับว่าเป็นกระแสที่มาแรงเลยทีเดียว ดังจะเห็นได้จากจำนวน Startup เกิดใหม่ และสมาคม Thailand Tech Startup Association ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มที่มีไอเดียสร้างสรรค์พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์โดนๆ ซึ่งถ้าใครยังนึกภาพของ Tech Startup ไม่ออก ก็ลองนึกภาพบรรดาโซเชียลมีเดีย อย่างเฟชบุ๊ก กูเกิล ทวิตเตอร์ หรืออินสตาแกรม เหล่านี้เองคือต้นแบบความสำเร็จของ Tech Startup
แต่ทั้งนี้พี่ไทยก็ไม่น้อยหน้าชาติใดเหมือนกัน เพราะตั้งแต่กระแสที่เริ่มเข้ามา ต่างก็มีคนรุ่นใหม่พร้อมใจกันก้าวสู่การเป็น Tech Startup มากกมายเช่นกัน รวมถึง อุ๊คบี หรือแอพพลิเคชันร้านหนังสือในรูปแบบดิจิตอลที่ใหญ่ที่สุดใน South East Asia โดยมี ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งเจ้าตัวได้มาเผยประสบการณ์พร้อมแชร์แนวคิดในแบบ Tech Startup ที่สร้างโอกาสให้ธุรกิจได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
“Tech Startup ก็ไม่ได้แปลกหรือแตกต่างจาก Startup ทั่วไปนัก เพียงแค่มีเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาเอี่ยวด้วยเท่านั้น ซึ่งในช่วงที่กระแสเหล่านี้เริ่มเข้ามาในประเทศ ก็มีหน่วยงานต่างๆ ให้การสนับสนุนโดยจัดการประชุมเพื่อให้สตาร์ตอัพและนักลงทุนได้พบปะกัน”
โดยณัฐวุฒิยังได้เกริ่นถึงจุดเด่นของการเป็น Tech Startup ที่ควรจับตามอง นั่นก็คือ หลักการที่เน้นเติบโตไว โดยผ่านการระดมเงินจากนักลงทุนทั้งของไทยและของต่างชาติ ซึ่งก็จะมีการขายหุ้นออกเป็นระยะ หรือที่เรียกว่า Series A ขยับไปสู่ Series B และ C ตามลำดับ โดยจะมีการระดมทุนที่มูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงระยะ Exit หรือตามศัพท์เทคนิคของ Startup จะหมายถึงมีบุคคลอื่นมาทำการซื้อต่อ
“เริ่มแรกอุ๊คบีก็เป็น SME ธรรมดาที่ใช้เงินลงทุนของตนเอง โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี ที่เราเปิดบริษัท ถึงได้เริ่มระดมทุนระยะแรกหรือที่เรียกกันว่า Series A โดยบริษัทอินทัชซื้อหุ้นไป 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินราวๆ 60 ล้านบาท ต่อมาในปี 2557 เราก็เริ่มขายต่อในระยะที่ 2 หรือ Series B โดยการขายในแต่ละระยะมูลค่าของธุรกิจก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้เราขายให้บริษัทจากประเทศญี่ปุ่น Transcosmos อีก 10 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นเงินราวๆ 200 กว่าล้านบาท โดยเป้าหมายในการระดมทุนครั้งนั้นผมก็ตั้งใจที่จะรับโนว์ฮาวต่างๆ จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาสู่ไทย ไม่ว่าจะเป็นการทำตลาดออนไลน์ การโฆษณาหรือวิเคราะห์ข้อมูลที่สำคัญคือความตั้งใจที่จะเป็น Digital Book อันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยในปี 2558 ที่ผ่านมา เราก็อยู่ในระดมทุนที่ Series C แล้ว ซึ่งอุ๊คบีเองก็ได้ขยายตลาดไปยังประเทศเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์เป็นที่เรียบร้อย”
โดยเป้าหมายสุดท้ายของบรรดา Tech Startup ที่ณัฐวุฒิเปิดเผยให้ฟังนั้น คือการนำธุรกิจไปสู่จุด Exit หรือตามศัพท์เทคนิคในวงการที่หมายถึงการมีบริษัทเข้ามาซื้อกิจการ โดยตัวอย่างการซื้อกิจการในตลาดโลกที่เราเคยได้ยินมาก่อน ก็เช่น เฟชบุ๊กเข้าซื้ออินสตาแกรม เป็นต้น
“ผมมองการทำธุรกิจในรูปแบบ Tech Startup คล้ายกับธุรกิจที่ให้ปลาใหญ่คอยตอดกินปลาเล็กไปทีละตัว โดยมีเงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ดังนั้น บรรดาปลาเล็กที่ต้องการอยู่รอดให้ได้ ก็ต้องคอยคิดไอเดียใหม่ๆ มาแลกเงินอยู่เสมอ ซึ่งตรงนี้และครับที่จะผิดจากความคิดของเถ้าแก่ SME ซึ่งจะมองในมุมต่างออกไปว่าต้องครองธุรกิจของตนไว้แต่เพียงผู้เดียว ทั้งที่ความจริงแล้วการทำในลักษณะ Tech Startup จะสามารถสร้างเงินได้มูลค่ามหาศาล ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าเราสามารถลบภาพการเป็นเจ้าของธุรกิจแต่เพียงผู้เดียวออกไปได้ ประเทศไทยจะมีเจ้าสัวเพิ่มขึ้นอีกหลายคนเลยทีเดียว”
สถิติที่ผ่านมาประเทศไทยมีบริษัท Startup ที่ทำการระดมทุนไปแล้วเป็นมูลค่าหลักพันล้านบาทซึ่งไม่ได้เป็นตัวเลขที่มากมายเลยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศหลักรอบตัว เผลอๆ อาจจะน้อยกว่าการระดมทุนแค่บริษัทเดียวในต่างประเทศด้วยซ้ำ โดยหัวใจสำคัญสำหรับการเป็น Tech Startup ณัฐวุฒิเผยว่า กลุ่มผู้ประกอบการ SME ควรคำนึงถึงคีย์เวิร์ดสำคัญ 2 ข้อด้วยกัน ได้แก่ Scalable และ Repeatable
“ความหมายของ Scalable และ Repeatable คือการปรับขนาดและทำซ้ำเพื่อให้เติบโตได้ ผมเชื่อมั่นว่า SME ก็สามารถทำได้ แม้จะไม่ได้ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางด้านไอทีมาก่อนก็ตาม เช่น การเปิดสาขาใหม่ หรือมีระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในส่วนจัดซื้อหรือจัดจ้าง คือจำไว้เลยว่าถ้าคุณทำธุรกิจขึ้นมาแล้วไม่มี Scale หรือ Repeat ก็เตรียมพับโปรเจ็กต์ธุรกิจตัวนี้ไปได้เลย เพราะสุดท้ายคุณก็สู้กับคู่แข่งไม่ได้อยู่ดี
นอกจากนั้น สำหรับว่าที่ผู้ประกอบการที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรให้สามารถเป็น Tech Startup ได้ ลองดูตัวอย่างจากผู้ประกอบธุรกิจต่างแดนแล้วนำมาปรับประยุกต์เข้ากับบริบทคนไทย เช่น การจัด Pain Point ของแอพพลิเคชัน Grab Taxi และ Uber ที่รู้ว่าคนไทยมักประสบปัญหาเรื่องการเรียกแท็กซี่ บ้างก็ส่งรถ บ้างก็ส่งแก๊สไม่พอ ดังนั้น สองเจ้ายักษ์ใหญ่จึงได้ไอเดียเข้ามาแก้ปัญหา โดยที่ไม่ต้องลงทุนซื้อรถเป็นของตนเองแม้สักคันเดียว จนสุดท้ายก็สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคและทำให้เกิดการหลั่งไหลเข้าใช้บริการ” ณัฐวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
Did you know?
*** เอ็นโซโก้ บริษัทที่เริ่มต้นมาด้วยเงินทุนเพียง 10 ล้านบาท แต่มูลค่าสุดท้ายหลังจากการทำ Exit แล้ว ก้าวกระโดดมาถึง 1.8 พันล้านบาท
***แจ็ค หม่า เจ้าพ่อ E-Commerce Alibaba มีหุ้นอยู่ในบริษัทเพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่เปอร์เซ็นต์ที่ว่ากลับมากเพียงพอที่จะทำให้เขาเป็นชายที่รวยที่สุดในประเทศจีน
***ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากว่า 20 เปอร์เซ็นต์ มีเศรษฐีที่เกิดใหม่ล้วนแล้วเป็น Tech Startup ทั้งสิ้น
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ที่มา : วารสาร SME Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2559
เรื่องโดย : นิธิดา วงศาโรจน์
ป้ายกำกับ:
การทำธุรกิจ,
ธุรกิจ,
ผู้ประกอบการ,
Fintech,
SME,
startup
5 ความผิดพลาดในการวางแผนเกษียณ
1. ไม่มีการปรับแผนเกษียณอายุให้เหมาะสมกับปัจจุบัน เชื่อหรือไม่ว่า คนที่เกษียณอายุไปแล้วหลายคนไม่สามารถทำตามที่ตัวเองวางแผนไว้ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าเขาไม่มีการปรับเปลี่ยนสมมติฐานในการลงทุนให้ถูกต้อง เช่น อัตราผลตอบแทนที่เคยคาดว่าจะได้สูงกว่า 7% ต่อปีจากการลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้คงเห็นได้ยากในปัจจุบัน ดูได้จากอัตราการเติบโตของ GDP ประเทศไทยที่ยากจะเห็นเกิน 5% หากเศรษฐกิจโลกยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งผลตอบแทนที่น้อยลงนี้ จะทำให้เงินออมของคุณหมดก่อนวันเวลาที่คุณวางแผนไว้
2. เกษียณเร็วเกินไป หลายคนเกษียณก่อนเวลา จากนโยบายบริษัทที่เปิดโอกาสให้สามารถ Early-Retire ได้ ซึ่งเชื่อว่าบริษัทน่าจะให้ผลประโยชน์ที่น่าสนใจระดับหนึ่ง แต่เชื่อหรือไม่ว่า ถ้าหากคุณเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิ์และทำงานต่อ ด้วยผลประโยชน์จากโปรแกรมสนับสนุนการออมของบริษัท เช่นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะช่วยให้คุณมีเงินออมหลังเกษียณต่างกันอย่างมาก
3. ประเมินค่ารักษาพยาบาลไว้ต่ำเกินไป คนส่วนใหญ่มักคิดว่าจะมาขอใช้สิทธิรักษาพยาบาลหลังเกษียณจากรัฐ จึงทำให้คุณอาจจะต้องไปต่อคิวจองบัตรตั้งแต่เช้ากว่าจะได้ตรวจรักษาจริงๆ น่าจะใกล้เที่ยงวัน ถ้าหากคุณไม่อยากจะรอสวัสดิการของรัฐ ก็ต้องหันไปใช้บริการของเอกชน ซึ่งราคาสูงกว่ามาก และยังเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงอีกด้วย ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะเป็นตัวกัดกินเงินออมที่คุณเก็บรักษามาทั้งชีวิตไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล และหาซื้อประกันสุขภาพสำหรับใช้ชีวิตหลังเกษียณไว้ให้พอเพียง
4. ไม่กระจายการลงทุน คุณทราบหรือไม่ว่าบริษัทของคุณเปิดให้สามารถเลือกลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วยตนเองได้ ถ้าหากคุณไม่ทราบ หรือว่าทราบแล้วแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือก เงินออมของคุณในเบื้องต้นทั้งหมดจะถูกกำหนดให้อยู่ในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดและให้ผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดเช่นกัน และหากคุณปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไป เงินที่คุณจะได้หลังเกษียณคงไม่เหมือนตามที่คุณฝันไว้อย่างแน่นอน ดังนั้นคุณควรจะกระจายการลงทุน โดยอาจจะขอแบ่งสัดส่วนการลงทุนมาอยู่ในกองทุนตราสารหนี้หรือกองทุนหุ้น เพื่อให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
5. ให้ความสำคัญกับการศึกษาบุตรจนไม่คิดถึงเรื่องเกษียณของตัวเอง ด้วยค่านิยมของคนไทยเราจะส่งลูกหลานจนจบปริญญาตรี รวมไปถึงออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถยนต์ ที่อยู่ ไปกระทั่งค่าจัดงานแต่งงานโดยไม่ได้คิดเรื่องเกษียณอายุของตนเอง แนะนำอย่างนี้ครับ “เรื่องทุนช่วยเหลือการศึกษามีคนสนับสนุนให้เสมอ แต่ทุนช่วยเหลือสำหรับการเกษียณไม่มีใครให้คุณได้นอกจากตัวคุณเอง"
อย่าเพิ่งคิดว่าช้าไปแล้วที่จะเริ่มวันนี้ เพราะคุณยังต้องใช้ชีวิตสำหรับเกษียณไปอีก 20 หรือ 30 ปีก็เป็นได้ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการวางแผนเพื่อการเกษียณและศึกษาหาความรู้ด้านการเงิน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)